น้ำแดง...เฮลซ์บลูบอย ขวดนี้แหละที่คุ้นเคย ว่าแต่ทำไมต้องเป็นขวดแก้ว ?

 

ช่วงซัมเมอร์ อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ก็ต้องหาอะไรมาดับคลายร้อนกันสักหน่อย อย่างน้ำหวานเย็น ๆ ที่กินแล้วชื้นใจสุด ๆ จะเป็นใครไปได้นอกจาก “น้ำแดงเฮลซ์บลูบอย” ขวดนี้แหละที่คุ้นเคยกันดี เรียกได้ว่าแทบจะเป็นน้ำสามัญประจำบ้านก็ว่าได้ เพราะหลายคนน่าจะเคยกินมาตั้งแต่เด็กจนโต และเอกลักษณ์ของเค้าก็คือ “ขวดแก้ว” ที่เป็นภาพจำของแบรนด์มาจนถึงวันนี้ แต่รู้มั้ยว่า...ทำไมเค้าถึงยังใช้ขวดแก้วมาตลอด วันนี้มาหาคำตอบกัน

 

---

 

เฮลซ์บลูบอย...ชื่อนี้มาทำรู้จักกัน

 

คุ้นหูกันบ้างมั้ย กับสโลแกนที่ว่า “อร่อย หวานชื่นรื่นรมย์” ที่เป็นแบรนด์น้ำหวานในตำนานเบอร์ต้น ๆ ของไทยเลยก็ว่าได้ เพราะเค้าอยู่มานานถึง 65 ปีแล้ว และในยุคแรก ๆ เค้าเป็นร้านขายของชำมาก่อนนะ แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำน้ำหวานมาขายในร้านด้วย จนเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทำให้ขายดีมาก ๆ เค้าเลยเกิดไอเดียต่อยอดทำแบรนด์น้ำหวานชื่อ “เฮลซ์บลูบอย (Hale’s Blue Boy)” ขึ้นมา 

 

กลายเป็นน้ำหวานที่ชงดื่มเองได้ แบบไม่ซ้ำใครเป็นเจ้าแรก ๆ ที่สามารถทำได้สารพัดเมนูของหวานอีกด้วย เลยไม่แปลกใจที่เราจะเห็นน้ำหวานขวดนี้กันอยู่บ่อย ๆ นี่แหละเลยทำให้น้ำเฮลซ์บลูบอยยังเป็นที่นิยมอยู่ตลอด อย่างรายได้ปี 65 ประมาณ 3,xxx ล้านบาท และกำไร 9xx ล้านบาท ธรรมดาที่ไหนทั้ง ๆ ที่แบรนด์ไม่ค่อยโปรโมทด้วยซ้ำ และที่สำคัญแพ็กเกจจิ้งก็เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

 

---

 

 

แล้วทำไมต้องใช้ “ขวดแก้ว” มาตลอด ?

 

และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ทางแบรนด์เค้าก็ไม่เคยเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เลย ยังใช้ “ขวดแก้ว” มาตลอด กลายเป็นซิกเนเจอร์ของทางแบรนด์ ที่ทำให้คนจำได้ง่าย...แต่จริง ๆ แล้ว ที่เค้าเลือกใช้ขวดแก้ว นั่นก็เพราะว่า ขวดแก้วสามารถเก็บความหวาน ของน้ำหวานได้นาน 2-5 ปีเลยนะ ทำให้สินค้ามีคุณภาพอยู่ได้นานมากที่สุด ซึ่งจะแตกต่างจากบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ที่อาจอยู่ได้แค่ 1 ปีเท่านั้น หรือบางทีก็ไม่กี่เดือนเอง นี่แหละเลยทำให้เค้า ยังใช้ขวดแก้วมาจนถึงวันนี้

 

---

 

 

แดงไหนคือถูกต้อง ?

 

เรื่องนี้หลายคนอาจจะยังไม่รู้และเกิดความสับสนได้ ว่าทำไมน้ำแดงเอย เขียวเอย ถึงมีหลายรส ทั้ง ๆ ที่สีก็เหมือนกันหมด สรุปแล้วเค้ามีกี่รสชาติกันแน่ ? อย่างสีแดงมีทั้งหมด 3 รสนะ มีแดงกลิ่นสละ, แดงกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ และแดงกลิ่นกุหลาบ ส่วนสีเขียวก็จะมี เขียวกลิ่นครีมโซดา และเขียวกลิ่นแคนตาลูป บอกเลยว่าแยกแทบไม่ออก เพราะถ้าดูที่ขวดสีเค้าก็แทบจะเหมือนกันเลย ยิ่งสีแดงนะอย่างกับแฝดกันอะ เพราะงั้นเวลาหยิบ ก็ต้องดูให้ดี ๆ ก่อนนะว่าเราจะซื้อแดงไหน เขียวไหน ไม่งั้นมีหยิบผิดแน่ ๆ 😂

 

---

 

 

น้ำแดงตัวแทนคลายร้อน ทำได้สารพัดเมนู

 

พอนึกถึงน้ำแดงทีไร ภาพความทรงจำงานกีฬาสีก็ลอยมาทุกที ที่ต้องมีน้ำแดงใส่กระติกไว้ให้ทีมนักกีฬา เพราะเวลาได้กินหลังเหนื่อย ๆ ก็สดชื่นทุกครั้ง หรือตามหลาย ๆ บ้านก็จะต้องมีน้ำแดงติดบ้านไว้ แต่นอกจากน้ำแดงแล้ว เค้ายังมีรสอื่น ๆ อีกด้วยนะ รวมทั้งหมด 9 รสชาติ ไม่ว่าจะเป็น กลิ่นสละ, กลิ่นครีมโซดา, กลิ่นสตรอว์เบอร์รี่, กลิ่นแคนตาลูป, กลิ่นกุหลาบ, กลิ่นมะลิ, กลิ่นองุ่น, กลิ่นสับปะรด และกลิ่นซาสี่ ส่วนราคาเริ่มต้น 60 กว่าบาท และที่สำคัญน้ำหวานของเค้าเป็นสูตรเจนะ ไม่ว่าใครก็กินได้

 

 

และหลายคนคงรู้อยู่แล้วว่าน้ำหวานขวดนี้ สามารถเอาไปครีเอทเป็นเมนูอื่น ๆ ได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเมนูเบสิคแค่ผสมกับน้ำเย็น ๆ ที่ดื่มแล้วชื่นใจ หรือถ้าใส่มะนาวโซดาเพิ่ม ก็จะได้เป็นเมนูน้ำแดงมะนาวโซดา ที่กลายเป็นเมนูยอดฮิตในหน้าร้อน หรือถ้าเอาไปผสมกับนม ก็จะได้เป็นนมเย็นชมพูที่เราคุ้นเคยกันดี และที่คลาสสิกเลยนะ ก็ต้องยกให้เมนูน้ำแข็งใส ที่ตามร้านรถเข็น มองไปจะมีน้ำหวานของเฮลซ์บลูบอย วางตั้งเรียงกันอยู่พรึ่บ หรือแม้แต่ร้านคาเฟ่ก็ยังมีเลย

 

---

 

มาสรุปกันสักนิด

 

อย่างที่ได้บอกไป ว่าถ้าเราจะนึกถึงน้ำหวาน ก็ต้องยกให้ “เฮลซ์บลูบอย” เค้านี่แหละ ที่เป็นทั้งเครื่องดื่ม และเป็นส่วนผสมในการทำเมนูของหวานได้หลายเมนู เราว่าแบรนด์เค้าเก่งมากนะ ที่สามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องปรับสูตรอะไรใหม่มาก ยังคงความออริจินอลของสินค้ามาตลอด ก็เพราะน้ำหวานขวดแก้วนี้มีดีมาตั้งแต่เริ่ม ประสบความสำเร็จมาตั้งแต่แรก เป็นความต่างที่ไม่มีใครเหมือน จนเป็นสินค้าตัวท็อปมาถึงวันนี้นั่นเอง

 

---

 

 อ้างอิงข้อมูล : https://ppro.pro/3yO4Jfr , https://ppro.pro/3Q5JcaI , https://ppro.pro/4aG454q