“ขาดมือถือ เหมือนขาดใจ” นี่แหละอาการของ โนโมโฟเบีย

avatar writer
โดย : imnat
avatar writer15 พ.ค. 2563 avatar writer9.1 K
“ขาดมือถือ เหมือนขาดใจ” นี่แหละอาการของ โนโมโฟเบีย

NO MOBILE PHONE PHOBIA 'โรคใหม่แห่งยุคสังคมก้มหน้า'
คืออะไร? ทำไมต้องระวัง? เรามีคำตอบมาให้แล้ว!


ถ้าพูดถึงโนโมโฟเบีย ทุกคนจะต้องเกิดความสงสัยแน่นอนว่ามันคืออะไร บอกเลยว่าคำๆ นี้ เป็นคำที่คนในสังคมทั่วไปควรที่จะต้องให้ความสำคัญกันมากๆ เพราะโนโมโฟเบีย หรือ Nomophobia นี้มาจากการผสมผสานของคำว่า No Mobile Phone Phobia เป็นคำที่แสดงถึงอาการของการเสพติดโทรศัพท์มือถือขั้นรุนแรงที่เรามักจะเห็นได้บ่อยในปัจจุบัน หรือใครที่มีอาการเสพติดมือถือกันอยู่ ต้องระวังกันไว้ให้ดี เพราะเผลอๆ คุณอาจจะมีแนวโน้มเป็นโรคนี้โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัวกันก็ได้

 

 


 Nomophobia คืออะไร?


Nomophobia (โนโมโฟเบีย) มีที่มาจากคำว่า No Mobile Phone Phobia เป็นกลุ่มอาการของคนที่มีพฤติกรรมเสพติดการใช้มือถือมากกว่าปกติ มักจะแสดงอาการหวาดระแวงและกังวลเป็นอย่างมาก โดยมีสาเหตุหลักๆ มาจากการใช้โทรศัพท์มือถือนั่นเอง

และถึงแม้ว่าทางการแพทย์ยังไม่มีข้อกำหนดให้ Nomophobia นี้เป็นโรคร้ายแรง แต่ลักษณะของอาการและสาเหตุนั้นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนในสังคมโดยตรง ซึ่งมีแนวโน้มว่าในอนาคตนั้นจะถูกนำไปจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคจิตเวชในหมวดวิตกกังวลอีกด้วย

 


ลักษณะอาการของ Nomophobia นั้นเป็นยังไง?


กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณะสุข ได้เปิดเผยถึงลักษณะอาการของคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงเสพติดมือถือว่า บางรายมีอาการเครียด ตัวสั่น เหงื่อออก รวมถึงคลื่นไส้เวลาที่ไม่มีมือถืออยู่กับตัว เมื่อนานเข้าจะเกิดอาการนิ้วล็อก ตาพร่า ตาล้า ตาแห้ง หรือเผลอๆ อาจจะร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้จอประสาทตาเสื่อมเลยทีเดียว

โดยกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการเสพติดมือถือมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น วัยรุ่น ที่มีอายุระหว่าง 18-24 ปี คนวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-34 ปี และวัยใกล้เกษียณตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป

 


พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงที่ควรระวัง


มาเช็กดูกันดีกว่าว่าเรามีพฤติกรรมอยู่ในกลุ่มที่สุ่มเสี่ยงไหม จากทั้งหมด 10 ข้อนี้เป็นตัวเราไปแล้วกี่ข้อกัน ถ้ามากกว่า 5 ขึ้นไปนี่ต้องเพลาๆ กันได้แล้วนะ ทางเราเป็นห่วงเด้อออ 

• พกโทรศัพท์มือถือติดตัวตลอดเวลา

• ถ้าโทรศัพท์มือถือไม่ได้อยู่ในมือ เราจะคลำหามันทันที

• ต่อให้ไม่มีใครส่งข้อความมาหาเรา เราก็จะรีเช็กมันอยู่เรื่อยๆ

• ถ้ามีเสียงข้อความเข้า ต่อให้ไม่ใช่ของเรา เราก็จะเข้าไปเช็กดู

• หลังจากตื่นนอนเราจะหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กเป็นสิ่งแรก

• ก่อนจะเข้านอน เรามักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นจนกว่าจะง่วง

• ใช้โทรศัพท์ระหว่างทานข้าว ขับรถ เข้าห้องน้ำ หรือแม้แต่นั่งรถโดยสาร

• ถ้าลืมโทรศัพท์ เราจะกระวนกระวายใจทันที 

• ห้ามใจไม่ให้เล่นโทรศัพท์ภายใน 1 ชั่วโมงไม่ได้

• ชอบคุยกับเพื่อนผ่านโลกออนไลน์มากกว่าตัวจริง

 


ถ้ารู้ตัวว่าสุ่มเสี่ยง เราจะรับมือกับมันยังไง?


ถึงแม้ว่าโนโมโฟเบียจะไม่ได้เป็นโรคร้ายแรง แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง ก็ควรที่จะรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของเราทันที รู้นะว่ายาก แต่ลองเริ่มจากอะไรง่ายๆ ก่อน อย่างเช่น พักเล่นโทรศัพท์สัก 10-30 นาทีต่อวัน แล้วใช้เวลาที่พักนั้นไปกับกิจกรรมอื่นๆ อาทิ ดูหนัง, ฟังเพลง, เดินห้าง ฯลฯ เมื่อรู้สึกว่าตนเองเริ่มห่างจากการเล่นมือถือได้แล้วก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนเวลาให้มากขึ้น เชื่อเถอะว่าทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ดังนั้นไม่ต้องวอรี่กันไปน้าา 

แต่สำหรับใครที่หลีกเลี่ยงการใช้งานมือถือไม่ได้จริงๆ ก็ควรหาเวลาพักผ่อนสายตากันบ่อยๆ อย่าเพ่งอยู่แต่หน้าจอทั้งวันกันน้า

 


📱  ปันโปรสรุปให้ 📱 

• ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเรากันมากขึ้น อย่างโทรศัพท์มือถือเองก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของเราเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่า คนในสังคมจะมีพฤติกรรมการเสพติดมือถือขึ้นมา

• Nomophobia ก็คือผลกระทบที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการเสพติดมือถือ ซึ่งส่งผลกระทบในแง่ลบต่อผู้ใช้งานได้ทั้งทางจิตใจและสุขภาพ

• ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการ พยายามจำกัดเวลาการเล่นโทรศัพท์ของตนเองให้น้อยลง และหันมาทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ส่งผลในแง่ดีกันให้มากขึ้น เพียงเท่านี้เราก็ห่างไกลจากอาการโนโมโฟเบียนี้กันแล้วจ้าา 

via GIPHY

 

- ขอบคุณแหล่งข้อมูลดีๆ จาก med.mahidol และ bangkokhealth -

  • avatar writer
    โดย imnat
    เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)
แสดงความคิดเห็น