ซื้อรถมือสองครั้งแรก! ซื้ออย่างไรไม่ให้เสียภาษี พร้อมวิธีคำนวณภาษีเวลาผ่อนรถ

ซื้อรถมือสองครั้งแรก! ซื้ออย่างไรไม่ให้เสียภาษี พร้อมวิธีคำนวณภาษีเวลาผ่อนรถ

ซื้อรถมือสอง ต้องจ่ายภาษี 7% จริงหรอ

ถ้าไม่อยากเสียภาษีต้องอย่างไร

ปันโปรหาคำตอบมาให้แล้ว~


.

ไหนใครที่กำลังอยากมีรถเป็นของตัวเองบ้างง~ เชื่อว่าคนส่วนมากกำลังคำนวณในหัว ระหว่าง “รถมือหนึ่ง” หรือ “รถมือสอง” ซื้อแบบไหนถึงจะคุ้มกว่ากัน แต่เพื่อน ๆ รู้มั้ยคะ ว่าถ้า “ซื้อรถมือสอง” เราจะต้องเสียภาษี 7% ด้วยนะ เอ๊ะ...แต่บางคนก็บอกว่าไม่เสียนี่นา ไป ๆ มา ๆ เริ่มงง สรุปเสียภาษี หรือไม่เสียภาษี เรามาดูไปพร้อม ๆ กันค่ะ 😆 

 

ซื้อรถมือสอง


📍 เราซื้อรถมือสองกับใครได้บ้าง

  • ซื้อรถมือสองกับเจ้าของรถโดยตรง หรือที่เราเรียก “รถบ้าน”
  • ซื้อรถมือสองผ่านเต็นท์รถมือสอง เป็นผู้ขายมืออาชีพ เราเรียกลักษณะนี้ว่า “รถเต็นท์”

 


📍 รู้ไหม...ซื้อ “รถบ้าน” ไม่เสียภาษีนะ


 

การซื้อ “รถบ้าน” ไม่ได้มีปัญหาอะไรยุ่งยาก เพราะคน ๆ นั้นอาจจะเป็นใครใกล้ตัวที่เรารู้จัก หรือเพื่อนสนิท ราคาอาจจะต่ำกว่ามาตรฐานก็ได้ เพราะมันคือราคากันเองค่ะ การจ่ายเงินขึ้นอยู่กับความสบายใจของ ผู้ซื้อ และผู้ขาย ถ้าเรียกแบบทางการ มันก็คือ การซื้อรถระหว่าง “บุคคลธรรมดา” นั่นเอง แบบนี้จะ ไม่เสียภาษี แต่ถ้าเป็น “รถเต็นท์” จะมีรายจ่ายที่จุกจิก เพราะไม่ว่าจะซื้อสด หรือซื้อผ่อน ก็ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแน่นอน

 

รถมือสอง


📍 “รถเต็นท์” จ่ายเงินวิธีไหนได้บ้าง 


จ่ายเงินซื้อรถมือสองได้ 2 กรณี

  • จ่ายสด
  • จ่ายผ่านไฟแนนซ์

|  จ่ายสด


1. ค่าจอง

มันคือเงินที่ทางเต้นท์จะให้เราวางจองไว้ก่อนแล้วทำสัญญา เพื่อให้มั่นใจว่าเราต้องการซื้อรถจริง ๆ ไม่ได้ซื้อเล่น ๆ ถ้าหากเราไม่ซื้อรถคันนั้น ๆ ทางเต้นก็จะเอาเงินมัดจำจากการทำสัญญานั้นไปค่ะ

 

2. ค่าภาษี (VAT) 7%

ราคาส่วนใหญ่ที่เราเห็นจากป้ายที่เต้นท์นั้นไม่ใช่ราคา Net ต้องสอบถามรายละเอียดให้ชัด ๆ ตอนซื้อ ถึงแม้ว่าเราจะจ่ายสด แต่ก็ต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เข้าไปอีกอยู่ดี

👉  เช่น ราคาป้าย 600,000 บาท บวกภาษี 7% (42,000 บาท) เท่ากับว่า ราคาที่เราต้องจ่ายจริง คือ 642,000 บาท

 

3. ค่าโอนรถ

“ค่าโอนรถ” เป็นค่าใช้จ่ายที่ทางกรมการขนส่งเรียกเก็บ เพราะผู้ซื้อรถมือสองกำลังจะเป็นเจ้าของรถ เปลี่ยนจากชื่อเจ้าของเก่าเป็นชื่อผู้ซื้อคนใหม่ ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนชื่อกรรมสิทธิ์ เราจะเรียกว่า “ค่าอากร” 

👉 โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย ค่าธรรมเนียม 5 บาท ค่าโอน 100 บาท และค่าอากรซื้อขายอยู่ที่ 500 บาท ต่อจำนวนเงิน 100,000 บาท 

👉  เช่น รถราคา 200,000 บาท จะเสียค่าอากรซื้อขาย 1,000 บาท

👉  ถ้ารวมค่าธรรมเนียม และค่าโอน ราคาสำหรับการจ่ายค่าโอนรถก็จะอยู่ที่ 1,105 บาท

 

4. ค่าประกันภัยรถยนต์

เป็นเรื่องธรรมดาที่มีรถ ต้องมีประกันรถ เต้นท์รถบางที่เขาจะมีประกันรถแถมมาด้วย ทีนี้ถ้าเต้นท์รถดันไม่มีผู้ซื้อจะเลือกทำประกัน หรือไม่ทำก็ได้ แต่ท้ายที่สุด ผู้ซื้อจะต้องทำประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด เช็กกับทางเต้นท์รถให้ดี ๆ ค่ะว่ามีแถมมั้ย

 

ซื้อรถมือสอง


|   จ่ายผ่านไฟแนนซ์


สำหรับการชำระเงินผ่านไฟแนนซ์ค่อนข้างจุกจิกมาก ๆ ย้ำว่าเราต้องตรวจสอบทุกอย่างละเอียด และต้องมีลายลักษณ์อักษรทุกอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของเราเอง 

1. เงินดาวน์

"เงินดาวน์" คือเงินที่เราต้องสมทบในการกู้ยืม ส่วนมากจะคิดเป็น % ถามว่าต้องสมทบเท่าไร มันขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างผู้ซื้อกับสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินทั่วไปจะให้ดาวน์ประมาณ 15% - 25% ของราคาประเมิน หรือถ้าใครกลัวว่าจะต้องควักเนื้อเยอะ ส่วนมากพวกไฟแนนซ์จากเต้นท์รถมือสอง เขาจะมีข้อเสนอดาวน์ 0% (ที่เราชอบเห็นเค้าทำป้ายใหญ่ ๆ หน้าเต้นท์) ก็ลองสอบถามเขาดูว่าเขาสามารถช่วยอะไรเราได้บ้าง เพราะเต้นท์รถบางที่เขาช่วยจัดการเรื่องดาวน์ให้ด้วย เป็นการบริการเสริมของเขา

👉  เช่น รถราคา 1,000,000 บาท เราต้องดาวน์ 20% หมายความว่า เราต้องออกเงินเอง 200,000 บาท โดยธนาคารที่ให้เรากู้ จะให้กู้ในส่วนที่เหลือ 80% เท่ากับ 800,000 บาท

 

2. ค่างวด

ใครที่กลัวหมุนเงินไม่ทัน ระวังตรงนี้ไว้ เพราะ “ค่างวด” เป็นรายจ่ายที่ผู้ซื้อต้อง “ผ่อนจ่ายทุกเดือน” กับไฟแนนซ์ ดังนั้นผู้ซื้อควรมีสำรองอย่างน้อยสัก 3 งวด เป็นหลักประกันว่าจะไม่ถูกยึดรถ ทางที่ดีก่อนซื้อรถควรกันเงินไว้จ่ายก่อนเลย 

 

3. ดอกเบี้ย

การทำสัญญาเช่าซื้อต้องมี “ดอกเบี้ย” เพิ่มเข้ามาตามที่ไฟแนนซ์ได้ระบุในสัญญา ยิ่งผ่อนนาน ดอกเบี้ยจะยิ่งเยอะ กลับกัน ถ้าผ่อนเสร็จเร็ว ดอกเบี้ยก็น้อยไม่เข้าเนื้อ ดังนั้น ทางที่ดีผู้ซื้อควรเอาข้อมูลอัตราดอกเบี้ยจากหลาย ๆ ธนาคารมาเปรียบเทียบก่อน เพื่อที่เราจะได้เจ้าที่คุ้มสุด

 

4. ค่าจัดไฟแนนซ์

"ค่าจัดไฟแนนซ์" เป็นค่าใช้จ่ายที่เราควรตรวจสอบอย่างละเอียด มันจุกจิกมาก เช่น ค่าดำเนินการ ค่าตรวจสอบเอกสาร เป็นต้น มันเป็นส่วนที่ไฟแนนซ์เรียกเก็บ ราคาก็แล้วแต่ทางไฟแนนซ์เขาจัดการมา เราควรเช็กดี ๆ ไม่งั้นอาจจะต้องจ่ายมากกว่าที่คิดได้ 😓 

 

ซื้อรถมือสอง



👉  ยกตัวอย่าง วิธีการคิดภาษีเวลาผ่อนรถ กรณีชำระเงินผ่านไฟแนนซ์

รถมือสองราคา 600,000 บาท

สูตร ราคา + ดอกเบี้ย X ภาษี 7% / 100 = Vat 

ราคารถ 600,000 บาท + ดอกเบี้ย 620,000 บาท + ภาษี 7% 43,400 บาท 

รวมเป็น 685,400 บาท นี่คือราคาที่เราจะต้องจ่ายจริง ๆ ค่ะ

 


🚕  สรุปเรื่องการเสียภาษีสำหรับการซื้อรถมือสอง

  • ซื้อรถมือสอง ถ้าซื้อจากบุคคลทั่วไป ไม่ต้องเสียภาษี 7% 
  • ถ้าเป็นรถฝากขาย เต็นท์รถจะให้ผู้ฝากขายรถโอนลอย เมื่อมีคนมาซื้อ ผู้ซื้อเหมือนได้รับโอนจากผู้ขายโดยตรง กรณีนี้จะไม่เสียภาษี
  • ถ้าซื้อรถยนต์ใหม่ ส่วนมากราคาจะรวมภาษีแล้ว แต่ถ้าซื้อรถมือสองจากเต็นท์มือสอง ส่วมมากราคาจะยังไม่รวมภาษี ดังนั้นไม่ว่าจะซื้อรถมือสองด้วย “เงินสด” หรือ “ผ่อนไฟแนนท์” กลุ่มนี้จะเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มค่ะ 
  • โดยรวมแล้ว การซื้อรถมือสองด้วยการจ่ายเงินสดดีกว่าการจ่ายผ่านไฟแนนซ์ 

ข้อมูลจาก : 1 2 3

 

แสดงความคิดเห็น