เมนูเจ แบบไหน? เหมาะกับราศีอะไร? มาดู!
โดย : Master
กินเจอย่างไร ให้ดวงเฮง 😆
เมนูเจ ตามราศี กินแล้วได้บุญ ได้สุขภาพ
ดวงดีแบบเต็มๆ! ถ้ากินถูกเมนู
เดือนตุลาคมของทุกปี เทศกาล “กินเจ” ที่สายบุญต่างรู้จักกันดี แต่รู้ไหมว่ากินเจ ยังมีอะไรที่นอกเหนือจากได้บุญ และสุขภาพดี ยังมีการกินเจตามราศีเพื่อเสริมดวงให้เฮงๆ กันได้อีกนะจ๊ะ สุขภาพจิตดี ดวงก็ดีไปด้วยจ้า
กินเจคืออะไร? เผื่อใครยังไม่รู้
คำว่า “เจ” มาจากภาษาจีน แปลว่า อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8 เป็นเทศกาลที่กินอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการละทิ้งบาป เว้นจากการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิต มีที่มาจากชาวจีนถึงตำนานเล่าขานต่างๆ นานา ว่าเป็นการไว้ทุกข์ หรือระลึกถึงคุณงามความดี เหล่าวีรบุรุษในจีน เมื่อครั้งอดีตกาล แต่จุดหมายปลายทางก็เพื่อ ละเว้นการกินเนื้อสัตว์เหมือนกันนั่นเอง
ทุกปีเทศกาลกินเจ จะตรงกับ 1 ค่ำ ถึง ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) รวมระยะเวลา 9 วัน ซึ่งในปี 2562 นี้อยู่ในช่วงวันที่ 29 ก.ย. - 7 ต.ค. แต่บางคนอาจจะเริ่มกินตั้งแต่วันที่ 28-29 ก.ย. เรียกว่าการล้างท้องเพื่อเตรียมร่างกายให้ชิน ก่อนกินเจนั่นเองจ้า
อาหารเจมีอะไรบ้าง
อาหารเจ จะคล้ายๆ อาหารมังสวิรัติเลยจ้า เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นโดยไม่มีเนื้อสัตว์ ทุกประเภท และไม่มีผักฉุนทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม, หัวหอม, หลักเกียว, กุ้ยช่าย และใบยาสูบ แต่เนื้อสัตว์ประเภทเดียว ที่สามารถกินในช่วงเจได้ คือ หอยนางรม ตามตำนานเล่าว่า เมื่อพระถังซัมจั๋งเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎก ในชมพูทวีป เสบียงหมดและ ไม่มีอาหารชนิดไหนเลยที่จะสามารถหามาฉันได้ จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า "หากมีสิ่งใดที่ฉันแล้วไม่บาป ขอจงปรากฏขึ้นมาให้ฉันด้วยเถิด" หอยนางรมก็ผุดขึ้นมา บ้างก็ว่าผุดมาจากดิน บ้างก็ว่าผุดขึ้นมาจากหาดทราย แต่เพื่อถวายตนเป็นอาหารให้พระถังซัมจั๋งเช่นเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาจึงถือว่าหอยนางรม เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่กินได้ในช่วงเจ
ฟังประวัติไปคร่าวๆ แล้ว คราวนี้สายมูต้องถูกใจ เพราะแอดเอาเมนูเจ ที่เหมาะกับสุขภาพของแต่ละราศีมาฝาก ไม่ต้องทานตามทุกเมนูก็ได้นะ เผื่อว่าใครไม่รู้ว่าจะกินเมนูไหน สามารถเก็บไว้เป็นตัวเลือกได้เลยจ้า
ราศีมังกร (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 15 ม.ค. – 12 ก.พ.)
มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อต่อต่างๆของอวัยวะ ควรดื่มนมถั่วเหลือง, น้ำเต้าหู้ หรืออยากได้ความสดชื่นหนักๆ ก็ต้องนี่เลย น้ำบีทรูท, น้ำแก้วมังกร, แคนตาลูปปั่นนะคะ ของหนัก แอดแนะนำเป็น โจ๊กเห็ดหอมเจ จะดีต่อสุขภาพชาวราศีนี้มากๆ เลยจ้า
ราศีกุมภ์ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 13 ก.พ. – 14 มี.ค.)
ราศีกุมภ์ สุขภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร อาหารไม่ค่อยย่อย และเป็นกรดไหลย้อนกันเก่งมาก อาหารที่ควรกิน จะเป็นพวกย่อยง่าย หรือช่วยในระบบย่อยอย่างมะละกอ, สับปะรด, อาหารที่มีขิงเป็นส่วนประกอบ เพื่อจะช่วยขับลม ให้สบายท้องกันไป
ราศีมีน (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 15 มี.ค. – 12 เม.ย.)
โรคที่เป็นบ่อยในชาวราศีมีน มักมีอาการร้อนในอยู่ประจำ เจ็บคอบ้าง อาหารร้อนๆ เครื่องดื่มร้อนๆ สามารถช่วยได้เยอะเลยนะ อย่าง น้ำชา, น้ำขิง, น้ำสมุนไพรต้ม จิบบ่อยๆ ระหว่างวันก็จะดีมาก พวกอาหารหนักๆ ก็เช่นกัน แกงส้มก็ได้ สุกี้ก็ดี หรือมีเมนูช่วยย่อย แต่อร่อยเวอร์เด็ดๆ ก็แนะนำมาได้น้าาา
ราศีเมษ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 13 เม.ย. - 14 พ.ค.)
เรื่องคิดมาก ต้องยกให้ชาวราศีเมษเลยจ้า คิดเล็ก คิดน้อย เก่งมากแถมยังหัวร้อนได้ง่ายๆ อีกด้วย อาหารที่ควรกิน ต้องช่วยหยุดอาการหัวร้อนได้ดี เช่น น้ำใบบัวบก แตงโม อาหารคาวก็เป็นรสอ่อนๆ ไม่ไปทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนไปด้วย อย่าง ต้มจืดมะระ, แกงจืดผักกาดขาว, แกงจืดใบตำลึง
ราศีพฤษภ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 15 พ.ค. – 14 มิ.ย.)
ราศีนี้ จะว่าไปก็ขี้โรคอยู่เหมือนกันนะ จะทำอะไรก็หอบ ก็เหนื่อย โรคที่เป็นประจำ ก็คงจะเป็นไข้หวัดนี่แหละ ต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีแบบแน่นๆเลย อย่างฝรั่ง, ส้ม, มะเขือเทศ อาหารคาวก็กินแบบแซ่บๆ ได้เลยนะ ไม่ว่าจะน้ำพริก, ลาบเห็ด และต้มยำต่างๆ ก็เหมาะกับชาวราศีนี้
ราศีเมถุน (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 15 มิ.ย. – 14 ก.ค.)
ราศีนี้ต้องเสริมวิตามิน B1 เยอะๆเลยจ่ะ เพราะมักจะเป็นเหน็บชาอยู่ประจำ ลองกินข้าวซ้อมมือ หรือน้ำจมูกข้าวดูบ้าง จะได้หายกันนะ ระบบไหลเวียนโลหิตก็ไม่ค่อยจะดี ใครที่ชอบดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ เปลี่ยนมาดื่มน้ำอุ่นแทนดีไหม หรือน้ำอุณหภูมิห้องดูจะดีมากๆ แต่เรื่องเมนูแซ่บๆ แอดขอเสนอ เมนูผัดพริกแกง และผัดกระเพรา จะช่วยเรื่องเลือดลม ระบบไหลเวียนโลหิตได้ดีที่เดียว
ราศีกรกฏ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 15 ก.ค. – 15 ส.ค.)
อีกราศี ที่ต้องการวิตามินซีหนักๆ เพราะด้วยปัญหาสุขภาพที่เป็นบ่อยเลย คือ ภูมิแพ้และไข้หวัด มีเสมหะอยู่ตลอด ควรกินผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ฝรั่ง, ส้ม, มะเขือเทศ เมนูของคาว เหมาะกับเมนูที่มีเครื่องเทศแบบจัดเต็ม! ทั้งยำ, ก๋วยเตี๋ยว, สุกี้ อย่าลืมลองเอาเมนูนี้ไปเป็นทางเลือกช่วงเจดูนะ
ราศีสิงห์ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 16 ส.ค. – 16 ก.ย.)
ชาวราศีนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้อนในอยู่ตลอดๆ แถมยังผิวบางแพ้ง่ายกับทุกสิ่งไปอีก! อาหารที่ควรกินก็ สามารถช่วยเรื่องของอาการร้อนใน และช่วยดูแลเรื่องผิวพรรณ อย่าง น้ำใบบัวบก, น้ำมะพร้าว, น้ำว่านหางจระเข้, แอปเปิ้ลเขียว อาหารมื้อหนักๆ ลองกินจำพวกต้ม ใส่ผักเยอะหน่อย จะได้ช่วยปัญหาสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นอีกนะ
ราศีกันย์ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 17 ก.ย. – 16 ต.ค.)
ชาวราศีนี้ จะอ้วนง่ายกว่าชาวบ้านเขาหน่อยนะ อาหารที่กินต้องลดแป้ง ลดไขมัน แอดแนะนำอาหารที่มีรสเปรี้ยว อย่างมังคุด, มะม่วงเปรี้ยว, มะละกอสุก และอีกประเภท คือพวกธัญพืชต่างๆ ทั้งถั่วและข้าวกล้อง และที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกาย จะได้สุขภาพดี และหุ่นดีพร้อมกัน
ราศีตุลย์ (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 17 ต.ค. – 15 พ.ย.)
ราศีตุลย์ มักมีอาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ควรกินอาหารที่ย่อยง่าย เนื่องจากทานอาหารไม่ตรงเวลา บางทีทานก็ไม่ครบทุกมื้อ เมนูที่ช่วยอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จะดีต่อชาวราศีตุลย์มากๆ อย่างอาหารที่มีรสขมนิดๆ ใส่เครื่องเทศที่ช่วยขับลม ในกระเพาะได้ดี อย่างเมนูผัดฉ่า, ต้มยำ, ผัดผักบุ้ง, แกงเลียง ก็ดีนะคะ ผลไม้หรือเครื่องดื่ม ควรทานที่มีรสหวานนิดๆ อย่างแครอทปั่น ก็ไม่ได้ค่ะ
ราศีพิจิก (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 16 พ.ย. – 15 ธ.ค.)
สายกินขนานแท้ ต้องพิจิกเลยจ้า กินเยอะต้องระวังอ้วนไว้ให้ดีนะ อาหารที่มีแป้ง มีไขมัน มีน้ำตาล สูงๆ เลี่ยงได้เลี่ยงเลยนะเธอ หรือจะลองเครื่องดื่ม ที่มีรสเปรี้ยว หรือขมหน่อยๆ เมนูแนะนำ แอดขอเสนอ เมนูน้ำพริกมะขาม เมนูยำต่างๆ เลือกทานเอาได้เลยจ้า
ราศีธนู (คนที่เกิดระหว่าง วันที่ 16 ธ.ค. – 14 ม.ค.)
เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย อารมณ์แปรปรวนกันสุดๆ มีราศีเดียวเนี่ยแหละค่ะ ใจไม่นิ่งขนาดนี้ควรกิน แกงจืดตำลึง, ต้มจืดผักกาดขาว, ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส, ยำรสอ่อนๆ ช่วยให้ใจนิ่งได้ดีเลยนะ หรือยังนิ่งไม่พอ ต้องดื่มเครื่องดื่มเก๊กฮวย, ใบเตย, รากบัว และเม็ดแมงลัก กินทั้งหมดนี้ใจไม่นิ่งก้ไม่รู้จะว่าไงแล้ว
🌈 ปันโปรสรุปให้ 🌈
-
เทศกาลกินเจ มีต้นกำเนิดจากประเทศจีน เป็นเทศกาลที่ละเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ มีเพียงหอยนางรมเท่านั้นที่สามารถกินได้ ระหว่างช่วงกินเจนะคะ
-
การล้างท้องก่อนการกินเจ หมายถึง การเตรียมร่างกายให้ชินกับการกินเจ
-
ประโยชน์ของการกินเจ นอกจากจะได้บุญ และสุขภาพดีแล้ว ยังสามารถกินเมนูเจตามราศี เพื่อเสริมดวงได้อีกด้วย เพราะแต่ละราศีจะมีลักษณะเฉพาะในการกินที่แตกต่างกันนั่นเองจ้า
-- ขอบคุณข้อมูลจาก Sanook.com และ TrueID --
โดย Master
hello