คู่มือซื้อของออนไลน์ : ค่าส่งเรื่องปวดใจของนักช้อป แล้วที่ว่าส่งฟรีมีอยู่จริงมั้ย?

avatar writer
โดย : ncp
avatar writer3 ก.ค. 2563 avatar writer2.9 K
คู่มือซื้อของออนไลน์ : ค่าส่งเรื่องปวดใจของนักช้อป แล้วที่ว่าส่งฟรีมีอยู่จริงมั้ย?

 

ช้อปออนไลน์ กี่วันถึงจะได้ของ

แล้วค่าสั่งล่ะต้องจ่ายเท่าไร แต่ละที่เหมือนกันมั้ย

ใครสงสัยเข้ามาเช็กกัน! เพราะปันโปรรวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว


Shopping กับ Shipping เป็น 2 คำที่อยู่คู่กันมาเสมอ เพราะตอนที่เราช้อปนั้นช่างเพลิดเพลินเหลือเกิน แต่พอถึงขั้นตอนการส่งแล้ว กลับสร้างความว้าวุ่นใจให้เราไม่น้อย ทั้งเวลาในการจัดส่ง แล้วเวลาที่เราเห็นขึ้นคำว่าส่งฟรี จริงๆ คำว่าฟรีที่ว่านี้ฟรีจริงไหม ดังนั้นเพื่อให้คำถามที่ค้างคาใจเหล่านี้หมดไป พวกเราลองไปหาคำตอบพร้อมๆ กันว่าแท้จริงแล้วปริศนาค่าส่งนี้เป็นยังไงกันแน่ !!

Part  1 : ช้อปปิ้งออนไลน์การจัดส่งมีแบบไหนบ้าง

Part  2 : ค่าส่งเท่าไหร่

Part  3 : โค้ดส่งฟรีหาได้ที่ไหน

Part  4 : ระยะเวลาส่งสินค้า


 Part 1  ช้อปปิ้งออนไลน์การจัดส่งมีแบบไหนบ้าง

 

1.ระบบขนส่งจากบริษัทโดยตรง ซึ่งจะพูดให้เพื่อนๆ ทุกคนเข้าใจกันง่ายๆ เลยก็คือ เวลาเราสั่งของจากเว็บไซต์ของห้างสรรพสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า, เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงอุปกรณ์และข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ซึ่งระบบการขนส่งแบบนี้จะเป็นการส่งแบบรถส่วนตัวของทางบริษัทโดยตรง ซึ่งจะมีพนักงานและเจ้าหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยต่างๆ ให้แก่ลูกค้าจนกระทั่งการจัดส่งเสร็จสิ้นอย่างเรียบร้อย

 

2.การจัดส่งพัสดุ การจัดส่งพัสดุในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่ช่วยประหยัดเวลาให้แก่ลูกค้าไปได้มาก เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ไหน เราก็จะมีสื่อกลางยังแมสเซ็นเจอร์เดินทางไปส่งของให้เราได้ และการจัดส่งพัสดุก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

 2.1 ไปรษณีย์ : สำหรับการจัดส่งผ่านไปรษณีย์ สามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี ได้แก่ การจัดส่งแบบลงทะเบียนและการส่งแบบ EMS โดยค่าส่งของแต่ละชิ้นก็จะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของสินค้า ส่วนระยะเวลาในการจัดสั่งของไปรษณีย์จะใช้เวลาประมาณ 1-3 วัน (ขึ้นอยู่กับบริการที่เลือกและพื้นที่ที่จัดส่ง) แต่ถ้าหากเกิดวันไหนที่เรารีบๆ ขึ้นมา ต้องการสั่งของให้มาส่งภายในวันเดียวจะต้องส่งของที่จุดบริการก่อน 11 โมง (ผู้รับจะต้องอยู่ในกรุงเทพฯ / ปริมณฑล / จังหวัดเดียวกันเท่านั้น)

 2.2 บริษัทขนส่งเอกชน : สำหรับบริษัทขนส่งแบบเอกชน ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งจะคิดตามเกณฑ์ อย่างเช่น คิดราคาจากขนาดของกล่องสินค้า, ความเร็วในการจัดส่ง, ระยะทาง, การส่งแบบเหมารถและประเภทของรถ ส่วนระยะเวลาการจัดส่งของขนส่งเอกชนจะสามารถส่งได้ตลอดเวลาผ่านช่องทางการติดต่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เรียกแมสเซ็นเจอร์มารับ, เรียกผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น ข้อดีเลยก็คือจะรวดเร็วทันใจต่อลูกค้าที่จำเป็นต้องรีบใช้ของ

 

3.นัดรับสินค้าด้วยตนเอง สำหรับร้านค้าทั่วไปในโลกออนไลน์ที่เป็นเพจของตนเองโดยเฉพาะ สำหรับบางกรณีลูกค้าบางคนเมื่อสั่งจองสินค้ากับผู้ขายเรียบร้อยแล้ว อาจจะเลือกนัดเจอเพื่อรับสินค้าด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึงค่อยจ่ายค่าเงิน แต่ในกรณีนี้ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างร้านค้าและลูกค้าผู้ซื้อ และนอกจากนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งกรณีที่มีบางห้างสรรพสินค้า, ร้านค้าในโซเชียลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Instagram, Line ก็มีการรับสั่งของด้วยแต่การนัดรับสินค้าจะให้ลูกค้าผู้สั่งจองเข้าไปเอาสินค้าเองที่สาขาของร้านที่ได้ระบุไว้ เป็นต้น


 Part 2   ค่าส่งเท่าไหร่ดูตรงไหน?

สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่เป็นมือใหม่ที่เพิ่งหัดเริ่มช้อปสินค้าออนไลน์ เชื่อได้ว่าหลายคนน่าจะมีคำถามกันว่า แล้วเวลาจะจะเช็กค่าจัดส่งเราจะดูข้อมูลได้ที่ตรงไหนเพื่อที่จะได้ประมาณราคาค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง คำตอบก็คือไม่ยากเลยจ้า เพียงแค่เพื่อนๆ กดเข้าไปตามขั้นตอนดังนี้

วิธีดูค่าส่ง : Shopee

เริ่มต้นกันด้วยที่ Shopee การจัดส่งสินค้าเพื่อนๆ สามารถเช็กตรงที่แอดไว้ทำกรอบสีแดงไว้ โดยทางร้านจะเขียนกำกับไว้ อย่างเช่นตัวอย่างในภาพที่ทางร้านบอกไว้ว่า ฟรีค่าจัดส่งเมื่อขั้นต่ำถึง 99 บาท ซึ่งแต่ละร้านก็จะกำหนดขั้นต่ำในการซื้อแตกต่างกันไป หรือบางช่วง Shopee ก็จะจัดแคมเปญส่งฟรี 0 บาท ออกมา หมายถึงซื้อกี่บาทก็ได้สิทธิ์ส่งฟรีไปเลย

นั่นเป็นอีกหนึ่งสาเหตุว่า ทำไมเราถึงต้องเสียค่าส่ง ทั้งๆที่แอปบอกว่าฟรีนี่นา?!? ก็เพราะเราอาจจะซื้อของไม่ถึงยอดที่กำหนดนั่นเอง หรือบางทีเราอาจจะซื้อของครบยอดแล้ว แต่คูปองที่จะใช้สำหรับส่งฟรีดันมาหมดซะนี่ ซึ่งตรงนี้เราจะอธิบายในหัวข้อถัดๆ ไป อย่าเพิ่งกดออกจากบทความไปก่อนล่ะ

 

วิธีดูค่าส่ง : Lazada

สำหรับค่าส่งของ Lazada เมื่อเราเข้ามาสู่เว็บไซต์หน้าสินค้าจะเห็นภาพดังนี้ ซึ่งการใช้งานก็จะคล้ายๆ กันกับ Shopee  ด้านขวามือของเราจะสามารถเช็กค่าส่งได้ตรงนี้เลย แต่เงื่อนไขสำหรับส่วนลดค่าส่งของ Lazada นั่น ค่อนข้างแตกต่างจาก Shopee ทีเดียว คือไม่ต้องใช้คูปอง ถ้าทางร้านระบุมาว่าซื้อครบเท่าไหร่ถึงได้ส่งฟรี เมื่อเราจ่ายเงินค่าส่งก็จะหายไปอัตโนมัติเลยล่ะ

ส่วนตัวแอปเองก็จะมีออกโปรที่เป็นโค้ดส่งฟรีออกมาบ้าง เช่น ซื้อครบ 3 ชิ้นส่งฟรี เมื่อเราซื้อของกับร้านที่ร่วมรายการครบ 3 ชิ้น และได้ทำการเก็บโค้ดเอาไว้แล้ว ระบบก็จะปรับค่าส่งให้ทันทีโดยไม่ต้องมากดเลือกเหมือนอย่าง Shopee ตรงนี้แอดขอให้ Lazada ได้คะแนนนำในเรื่องของความสะดอกไปก่อนเลย

 

วิธีดูค่าส่ง : JD Central

ต่อกันด้วย JD Central หลังจากเพื่อนๆ เลือกร้านค้าที่ตนเองต้องการจะช้อปได้แล้ว ค่าจัดส่งสินค้าก็จะมีรูปแบบคล้ายๆ กันสองแบรนด์ในข้างต้นคืออยู่บริเวณด้านขวามือ ซึ่งทางเว็บไซต์เขาจะเขียนกำกับไว้เลยว่าบริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศ (เมื่อช้อปสินค้าประเภทของกินของใช้และของใช้ในบ้านครบ 800 บาท ส่วนสินค้าอื่นๆ ส่งฟรีเมื่อยอดครบ 99 บาท)

ซึ่งในส่วนนี้ถือได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ใครหลายคนเลือกช้อปกับ JD Central เพราะนอกจากจะส่งฟรีเมื่อเราช้อปครบ 99 บาทแล้ว เรายังสามารถคืนสินค้าได้หากไม่พอใจในตัวสินค้าภายในระยะเวลาที่ 3-5 วันอีกด้วย ซึ่งถือได้ว่าตอบโจทย์และถูกใจผู้ซื้อหลายคนเป็นอย่างมาก

 

วิธีดูค่าส่ง : ร้านค้าบน Social 

ส่วนร้านค้าอื่นๆ ในโลกโซเชียลไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter และ Instagram เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูข้อมูลราคาค่าส่งได้แบบชัดเจน โดยบางร้านเขาจะระบุไว้ให้ลูกค้าได้เห็นกันแบบชัดเจน แต่หากร้านไหนไม่ได้ระบุไว้ เพื่อนๆ ก็สามารถสอบถามไปในช่องส่งข้อความ เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่เรื่องค่าส่งแอดอยากให้ใจเขาใจเราเนอะ ร้านค้าเขาอาจจะคิดค่าส่งแพงบ้าง ยิ่งสั่งเยอะ ยิ่งแพง เพราะร้านต้องมีต้นทุนเพิ่มในการบรรจุหีบห่อต่างๆ ไม่มีการสนับสนุนเหมือนเวลาที่เราซื้อผ่านแอป ยังไงก็ตกลงกันดีๆ ถ้าเป็นลูกค้าประจำกันแล้วล่ะก็ แอดว่าแม่ค้าต้องมีลดค่าส่งให้บ้างล่ะน่าาาา


 Part 3   โค้ดส่งฟรีมีที่ไหน


การสั่งของออนไลน์สำหรับบางร้านเขาก็จะเขียนแจ้งหรือกำกับไว้เลยว่าค่าสั่งเท่านี้ แต่ถ้าสั่งครบจำนวนเท่านี้จะส่งฟรี ยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพ เช่น ต่างหูคู่ละ 20 บาท ค่าส่ง 50 บาท / ถ้าสั่งครบ 10 ชิ้นฟรีค่าสั่ง ซึ่งหากเป็นในกรณีนี้จะทำให้ลูกค้าเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากเป็นในกรณีที่เขียนว่าส่งฟรีแต่พอถึงไม่เวลาไม่ฟรีล่ะ!! เชื่อได้ว่าเพื่อนๆ หลายคนน่าจะต้องเคยประสบปัญหาสับสนกับราคาค่าส่งที่บางที่ก็มีคำโฆษณาว่าส่งฟรีแต่พอเราสั่งจริงๆ กับไม่ฟรีซะงั้น 

วิธีใช้โค้ด : Shopee

 

Shopee ส่งฟรีจริงไหม? ในขณะที่เรากำลังเลือกซื้อสินค้าต่างๆ ในแอปพลิเคชันของ Shopee ซึ่งในตัวแอปเขาจะบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสินค้าไม่ว่าจะเป็น รายละเอียดสินค้า, ราคา, การผ่อนชำระ, การจัดส่ง และในส่วนของการจัดส่งนี้ในกรณีที่เขียนว่าจัดส่งฟรีเมื่อขั้นต่ำราคาถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก่อนการชำระเงินเราจะต้องใส่โค้ดส่วนลดก่อน ซึ่งโค้ดส่วนลดก็จะมีแบบที่มีให้เป็นประจำทุกเดือน และแบบที่ต้องแย่งชิงกันกดเพื่อให้ได้มา !


เกณฑ์การส่งฟรีจาก Shopee


เงื่อนไขที่ 1 ซื้อสินค้าครบราคาที่กำหนด

โดยในแอปพลิเคชันของ Shopee จะมีบอกว่าถ้าหากเราซื้อของครบตามราคาที่กำหนด อย่างเช่น ฟรีค่าจัดส่งเมื่อขั้นต่ำถึง 200 บาท หรือบางร้านก็อาจจะเขียนว่าส่งฟรีไม่มีขั้นต่ำ โดยข้อมูลในส่วนนี้ต้องขึ้นอยู่กับแคมเปญของต่างละร้านว่าตอนนี้เขามีกิจกรรมหรือส่วนลดอะไรอื่นๆ เพิ่มเติมอยู่บ้าง และเมื่อเราซื้อตามเงื่อนไขนี้ก็จะได้ไปต่อกับการใช้โค้ดส่งฟรีต่อไป

 

เงื่อนไขที่ 2 ซื้อครบ + ใช้คู่กับโค้ด

1. โค้ดส่งฟรีในแคมเปญ ใน Shopee จะมีโค้ดและส่วนลดต่างๆ มากมาย โดยขึ้นอยู่กับแคมเปญต่างๆ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้ามาเก็บคูปองได้ตามวันเวลาที่เขากำหนดไว้ ซึ่งคูปองเหล่านี้เขาจะกำหนดไว้ว่า อย่างเช่น ส่วนลดใช้ได้กับสินค้าโทรศัพท์ เราจะเอาไปใช้กับเสื้อผ้าก็ไม่ได้
หรือบางแคมเปญก็เจาะจงเฉพาะร้านค้าไปเลย รวมไปถึงจำกัดการใช้กับวันที่ระบุไว้เท่านั้น บางโค้ดอาจจะใช้ภายในวันนั้นเลย หรือบางโค้ดก็มีอายุถึง 1 เดือน แต่ต่อให้กดได้แล้วก็อย่านิ่งนอนใจไปค่ะ เพราะถ้าไม่รีบใช้ ก็อาจจะเฟลเพราะสิทธิ์การใช้โค้ดอาจจะเป็น ถ้าอธิบายให้เห็นภาพก็คือ

 

2. โค้ดส่งฟรีประจำเดือน ในทุกเดือน Shopee จะส่งโค้ดส่งฟรีเข้ามาใน Account ของเราโดยอัตโนมัตินั่นคือ  โค้ดส่งฟรีเฉพาะการจ่ายผ่าน Airpay 4 สิทธิ์ต่อเดือนด้วยกัน และสำหรับการส่งฟรีสำหรับการจ่ายเงินแบบใดก็ได้ 1 สิทธิ์ แต่ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่า ต้องซื้อของให้ตรงตามเงื่อนไขที่ 1 เสียก่อนถึงจะกดใช้โค้ดเหล่านี้ได้


แต่เดี๋ยวก่อน ! ส่งฟรีในที่นี้ก็ยังไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ต้องจ่ายค่าส่งเสียเลย อย่างที่เราได้บอกไปใน part ที่ 2 ว่าแต่ละร้านจะกำหนดค่าส่งแตกต่างกันไป ตามแต่ประเภทการส่ง ราคาก็จะเริ่มอยู่ที่ 25 บาท ถึงเป็น 100 บาทก็มีนะ ข้อจำกัดของโค้ดส่งฟรีตัวนี้ก็คือใช้เป็นแค่ ส่วนลดค่าส่ง เท่านั้น โดย ณ ปัจจุบันจะลดอยู่ 30 บาท ถ้าร้านที่เราสั่งตั้งราคาไว้ที่ 50 บาท เราก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก 20 บาท อยู่ดี อันนี้เพื่อนๆ ก็อย่าลืมคำนวณค่าส่งต่างๆ ให้ดีนะ


วิธีใช้โค้ด : Lazada

 

สำหรับใครที่ช้อปปิ้งกับทาง Lazada เสมอๆ คงทราบดีว่าจุดขายของเขาไม่ได้อยู่ที่การจัดส่งฟรี ดังนั้นอาจจะไม่ได้มีโค้ดส่งฟรีให้ประจำแบบเจ้าอื่น แต่ข้อดีของ Lazada ก็คือมีระบบขนส่งของตัวเองภายใต้ชื่อ Lex TH จะไม่ได้ส่งมาจากหลากหลายเจ้า ทำให้เรทการจัดส่งของ Lazada จะค่อนข้างคงที่ ลูกค้าไม่ต้องเผื่อใจเรื่องค่าส่งมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่า Lazada จะไม่มีโค้ดส่งฟรีเสียเลย ลองตามแอดไปดูกัน


เกณฑ์การส่งฟรีจาก Lazada มีอะไรบ้าง


เงื่อนไขที่ 1 ซื้อสินค้าครบราคาที่กำหนด

สำหรับข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน แต่สำหรับร้านที่มีโปรโมชั่นส่งฟรีเขาจะระบุไว้ อย่างเช่น ฟรีค่าจัดส่งเมื่อซื้อสินค้าครบ 500 บาท แต่ในส่วนของราคาจะขึ้นอยู่กับแต่ละร้านค้าตั้งไว้ว่าต้องเท่าไรถึงจะส่งฟรี และสำหรับเมื่อถึงเวลาจ่ายเงินถ้าเราซื้อครบก็จะได้หักลบค่าส่งทันที อันนี้ไม่ต้องกดโค้ดก็ลดเลยนะ

 

เงื่อนไขที่ 2 โค้ดคูปองส่งฟรี 

Lazada จะมีโค้ดส่งฟรีที่แจกเป็นประจำแบบที่ต้องกดเก็บโค้ดก่อนก็คือ ซื้อ 3 ชิ้น ส่งฟรี วิธีสังเกตคือโค้ดจากทาง Lazada จะเป็นสีม่วง-ชมพูเข้ม ถ้าในหน้าสินค้ามีเจ้าโค้ดสีม่วงนี้โผล่ขึ้นมาก็รีบเข้าไปกดมาเก็บไว้ก่อนเลย แล้วพอถึงตอนจ่ายเงินโค้ดก็จะถูกใช้โดยอัตโนมัติในทันที

 

เงื่อนไขที่ 3 แคมเปญพิเศษ 

ส่งสินค้าฟรีจากแคมเปญพิเศษๆ จาก Lazada อย่างเช่น เดือน ก.พ. นี้ส่งฟรีตลอดเดือน ซึ่งหากถ้าเพื่อนๆ มีสินค้าที่ต้องการจะซื้อก็สามารถเข้าไปรับสิทธิ์ที่ทาง Lazada จัดกิจกรรมกันไว้ได้เลย ตรงนี้มีทั้งส่งฟรีทันทีถ้าเป็นร้านที่ร่วมแคมเปญ หรือาจจะต้องกดโค้ดก่อน ซึ่งสามารถดูได้จากหน้าสินค้านั้นๆได้เช่นกัน


วิธีใช้โค้ด : JD Central

 

เมื่อพูดถึง JD Central เชื่อได้ว่าขาช้อปทั้งหลายต้องนึกถึงสโลแกนที่ว่าช้อปครบ 99 บาท ส่งฟรี แต่นอกจากวิธีนี้แล้วเพื่อนๆ ทุกคนทราบกันไหมเอ่ยว่าการช้อปปิ้งของที่นี่ก็ยังมีโค้ดและคูปองอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วยเซฟเงินในกระเป๋าให้เราไปได้เช่นกัน บอกเลยแค่รู้วิธีง่ายๆ เหล่านี้ก็ช่วยประหยัดเงินของเราไปได้เยอะ ซึ่งจะมีวิธีไหนบ้างนะเราตามไปดูกันเลยดีกว่า


เกณฑ์การส่งฟรีจาก JD Central มีอะไรบ้าง


เงื่อนไขที่ 1 ซื้อสินค้าครบราคาที่กำหนด

เมื่อช้อปกับทาง JD Central ทางเว็บไซต์จะระบุไว้ว่า บริการจัดส่งฟรีทั่วประเทศเมื่อช้อปสินค้าประเภทของกินของใช้และของใช้ในบ้านครบ 800 บาท สำหรับสินค้าประเภทอื่นๆ ส่งฟรีเมื่อยอดครบ 99 บาท ซึ่งถ้าหากสินค้าอื่นๆ อย่างเช่น ร้านเสื้อผ้า หากเราต้องการซื้อเสื้อราคา 449 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เกิน 99 บาท โดยตอนชำระเงินค่าส่งก็จะขึ้นฟรีโดยอัตโนมัติให้เราเลย

 

เงื่อนไขที่ 2 คูปองส่วนลดต่างๆ 

คูปองแต่ละอันก็จะมีรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่น คูปองอันที่แรกใช้ลดได้ 10 % เมื่อซื้อครบ 199 บาท + กับสามารถใช้ได้กับสินค้าประเภทนี้ๆ เท่านั้น เป็นต้น โดยในส่วนนี้คูปองแต่ละอันก็จะมีรายละเอียดและเปอร์เซนต์ในการลดที่แตกต่างกันออกไป ถ้าทุกคนอยากรู้ว่ามีส่วนลดอะไรบ้างนั้นตามเข้าไปเช็กได้ที่ในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ JD Central ได้เลย

 

เงื่อนไขที่ แคมเปญพิเศษ 

สำหรับแคมเปญพิเศษๆ ของทาง JD Central นี้จะมีออกมาเป็นช่วงๆ โดยเพื่อนๆ สามารถเข้าไปเช็กแคมเปญดีๆ ได้ทุกเมื่อทั้งในเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน เพียงแค่เข้าไปที่โปรโมชั่นจากนั้นเราก็สามารถดู All Campaigns ต่างๆ กันได้แล้วจ้า


  Part 4   ระยะเวลาส่งสินค้า


ระยะเวลาในการส่งสินค้าสำหรับแต่ละที่มีความแตกต่างกัน สำหรับวันเวลาที่ได้รับสินค้า อย่างไรลูกค้าควรเช็กจากแอปพลิเคชันโดยให้เริ่มต้นจากวันที่ผู้ขายเริ่มจัดส่ง เพราะในบางกรณีที่เราได้ของช้าอาจจะเพราะของชิ้นนั้นยังไม่ได้ถูกส่งไปยังบริษัทจัดส่ง แต่ค้างอยู่ที่ร้านค้า เพื่อนๆ ต้องดูให้ดีๆ ว่าของที่เราสั่งนั้นอยู่ในขั้นไหนแล้ว และถ้าของถูกส่งออกมาแล้วต้องใช้เวลากี่วันกว่าที่จะมาถึงมือเรานั้น เรารวบเราเอาไว้มาให้ดูกันแล้ว

 

🌈 ปันโปรสรุปให้ 🌈 

 • ค่าจัดส่งฟรีมีจริง แต่มีอยู่จำกัด อาจจะต้องรอช่วงโปรโมชั่น, คูปอง, ร่วมแคมเปญ, ซื้อสินค้าครบตามจำนวน เป็นต้น เท่านี้ก็ช่วยเซฟค่าจัดส่งไปได้แล้วจ้า

 • การช้อปออนไลน์มีการจัดส่งด้วยกัน 3 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดส่งโดยตรง, จัดส่งแบบพัสดุ และการรับของด้วยตนเอง

 • หากเพื่อนๆ คนไหนต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการจัดส่งสินค้า สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> คลิก

 

อ่านบทความจากซีรีส์ Shopping Online 101 ต่อ

คู่มือซื้อของออนไลน์ : มารู้จักเว็บขายของแต่ละแบบ พร้อมสอนวิธีสมัคร

คู่มือซื้อของออนไลน์ : โปรลดราคา ของเซลในเน็ต ดีจริงหรือ

คู่มือซื้อของออนไลน์ : จ่ายเงินซื้อของ - ขอคืนเงินอย่างไรให้ปลอดภัย

 

via GIPHY

แสดงความคิดเห็น